ข้อมูลเกี่ยวกับจักระเเละสัตว์ร้าย
1. เรื่อง จักระ
2. เรื่อง การผสานอิน
3. เรื่อง การควบคุมจักระ
4. เรื่อง 5 อสรพิษเเห่งความอัปมงคล
5. เรื่อง ตะขาบ
..เริ่มจาก..
(เพราะก่อนเราจะไป เรียนรู้การประสานอิน ต้องเข้าใจเรื่อง จักระ ก่อนนะ)
จักระ คือ สิ่งสำคัญในการใช้ คาถานินจา ถ้าไม่มีจักระ ก็ไม่สามารถ ใช้คาถานินจา ได้ ซึ่งจักระจะอยู่ในร่างกายของมนุษย์
**ถ้าให้พูดเเบบง่ายๆ คือ จักระ ก็คล้ายๆกับ กำลังภายใน เเบบในหนังจีนนั้นเเหละจ๊ะ**
ซึ่งจักระ เกิดจาก 2 พลัง คือ...
1. พลังกาย = เราสามารถรีดเร้นจักระออกมาจากเซลล์ในร่างกายของเราได้ ซึ่งมี 130 จุด ภายในร่างกายของเรามีเส้นจักระ จะมีลักษณะเหมือนเส้นเลือด ทำหน้าที่ลำเลียงจักระ ซึ่งมันทำหน้าที่ไหลเวียนจักระ ส่วนจุด 130 จุด ที่อยู่บนระหว่างเส้นจักระ คือ ตัวส่งถ่ายจักระ (ตามรูปข้างล่าง หลังจบเนื้อหาจักระ)
2. พลังจิต = ได้จากการฝึกฝนบ่อยๆ เเละ ประสบการณ์
เมื่อต้องการใช้ วิชานินจา เราก็ต้องรีดเร้นจักระออกมาจากพลัง 2 นี้ ผ่าน การผสานอิน เท่านั้น !
**ถ้าเราไม่ต้องการให้ศัตรูใช้คาถานินจาได้ เราก็ต้องเรียน วิชาสะกัดจุด เเบบในหนังจีน เพื่อหยุดการไหลเวียนของจักระชั่วคราว หรือ อัมพาตชั่วคราว**
>> เเต่โดยทั่วไปเเล้ว มนุษย์ธรรมดา ไม่สามารถมองเห็นเส้นจักระภายในร่างกายได้ มีเฉพาะ 1 ตระกูลเท่านั้น ที่จะมองเห็นเส้นจักระได้ เเละสามารถสะกัดจุดได้ง่ายๆ คือ ตระกูลฮิวงะ(เนตรสีขาว)
ดังนั้น มนุษย์ธรรมดา อย่างเช่น เราๆทุกคน จะต้องเชี่ยวชาญ ศึกษา เเละฝึกฝนมาอย่างดี ไม่เช่นนั้นเราอาจจะพลาดสะกัดจุดผิดที่ก็ได้ ถ้าพลาดสะกัดจุดส่วนที่สำคัญไป ก็อาจจะทำให้ถึงตายได้นะ เพราะจุด 130 จุด บางจุดมันจะอยู่ใกล้ๆกัน ซึ่งบอกได้เลยว่า ยากมาก
เเต่ในความเป็นจริงในปัจจุบัน ก็มีการนวดสะกัดจุด คลายเส้นเหมือนกันนะ เช่น พวกหมอนวดน่ะ เเละก็เห็นกันบ่อยๆในหนังจีนกำลังภายใน (อันนี้นอกเรื่องเเปป -0-)
**โดยเส้นจักระ จะอยู่ใกล้กับ อวัยวะภายใน ถ้าเส้นจักระได้รับความกระทบกระเทือน ก็จะส่งผลต่ออวัยวะที่อยู่ใกล้ๆด้วย**
จักระ มีหลายสี ซึ่งเเต่ละสี ก็เเตกต่างกันเช่นกัน ดังนี้...
1. จักระธรรมดาทั่วไป (สีฟ้า)
2. จักระพิเศษ (จิ้งจอกเก้าหาง) (สีส้ม) **นารูโตะใช้ได้เพียงคนเดียว**
3. จักระด้านการรักษา ของพวกนินจาเเพทย์ (สีเขียว)
4. จักระพิษ เกิดจากพลังปีศาจของโอโรจิมารุเท่านั้น (สีม่วง)
(อ้างอิงจาก เว็ป :: http://my.dek-d.com/anime-manga-girl/writer/viewlongc.php?id=503465&chapter=7 )
อันดับต่อไป
[2.] ข้อมูล :: การประสานอิน
คาถานินจาเป็นศาสตร์สำคัญที่เหล่านินจาใช้ในการต่อสู ้
เมื่อต้องการจะใช้คาถา นินจาจะต้องควบคุมจักระของตัวเองร่วมกับการผสานอินเพื่อใช้คาถา
**วิธีการฝึกควบคุมจักระจะอธิบายในลำดับเรื่องต่อไป**
แต่นินจาที่ใช้กระบวน(การต่อสู้โดยใช้ร่างกาย / สู้ระยะประชิด)ท่าไม่จำเป็นต้องใช้ท่าผสานอินแต่อย่างใด อย่างไรก็ตามนินจาสายกระบวนท่าก็อาจใช้การผสานอินในการรวมรวบจักระได้เช่นกัน
**การผสานอิน ต้องประสานอิน 2 มือเสมอ**
**ถ้าผสานอินมือเดียว จะใช้เฉพาะคนที่มีทักษะพิเศษ**
โดย ท่าประสานอิน มี 12 ท่า หรือ 12 นักษัตร ดังนี้
Rat - ชวด = สัญลักษณ์ชวดนี้ใช้ในตระกูลนาราในเคลื่อนย้ายเงาวิชา วิชาเงาของพวกเขา
Ushi - Ox/Cow - ฉลู
Tora - Tiger - ขาล = ขาลนี้เป็นสัญลักษณ์อินของคาถาไฟ
U - Rabbit/Hare - เถาะ
Tatsu - Dragon - มะโรง
Mi - Snake/Serpent - มะเส็ง = มะเส็งเป็นอินของคาถาดิน
Uma - Horse - มะเมีย
Hitsuji - Ram - มะแม
Saru - Monkey - วอก
Tori - Bird - ระกา
Inu - Dog - จอ
(ข้อมูลจาก เว็ป :: http://kritpong_ex.igetweb.com/index.php?lite=article&qid=588639)
ลำดับต่อไป
[3.] ข้อมูล :: การฝึกควบคุมจักระ
มี 4 วิธี ดังนี้
1. การควบคุมใบไม้ (เบสิกพื้นๆแต่ไม่พื้น) ควบคุมใบใม้ให้ติดอยู่บนหน้าผาก [เทคนิคนี้เป็นการฝึกเฉพาะของหมู่บ้านโคโนฮะเท่านั้น]
2. การควบคุมพลังจักระภายใน เทคนิคนี้ นินจาทุกคนจะต้องสามารถทำได้กันอยู่แล้ว สำหรับใช้เรียก คาถาต่างๆออกมาผ่านการผสานอิน เราจะต้องควบคุมจักระตามเจตจำนง (เจตจำนง = ความตั้งใจ/ความต้องการ)
3. การวิ่งขึ้นต้นไม้ การฝึกนี้เพื่อ เป็นการควบคุมจักรใว้ที่เท้า ฝึกคล่องๆ เมื่อนินจาอยู่บนบกจะทำให้นินจาสามารถบังคับตัวเองได้อย่างรวดเร็วเร็วไม่มีสดุด
4. การเดินบนน้ำ เป็นการฝึกวิชาเดินบนน้ำ นินจาที่ฝึกทักษะนี้ จะต้องมีความคล่องตัวสูงที่จะควบคุมจักระได้เก่ง สามารถใช้คาถานินจาขั้นสุดยอดได้เก่งระดับสูงๆเลยทีเดียว
(อ้างอิงจาก เว็ป :: http://writer.dek-d.com/Writer/story/view.php?id=239561)
[4.] ข้อมูล :: 5 อสรพิษเเห่งความอัปมงคล
อธิบายตามลำดับจากซ้ายไปขวาเลยนะ
งู คือ สิ่งที่ชั่วร้าย และเป็นสัญลักษณ์ของความตกต่ำ เป็นอสรพิษ สามารถฉก กัด และใช้พิษฆ่าคนได้
แมงป่อง แมงป่องจัดว่าเป็นสัตว์ที่มีพิษร้ายแรงชนิดหนึ่ง ที่หางของแมงป่อง จะมีเหล็กไนที่มีพิษร้ายแรง สามารถทำอันตรายรุนแรงถึงขั้นทำให้เสียชีวิตได้เลยทีเดียว
**ตามตำนานเล่ากันว่า มีหลวงจีนรูปหนึ่งเป็นชาวธิเบต หลวงจีนท่านนี้ชื่อว่า "เหลียงฮัวเซิง" ท่านมีคาถาอาคมแก่กล้า สามารถปราบอสูรสยบมารได้ มีอยู่ครั้งหนึ่งหลวงจีนท่านนี้ได้ปราบอสูรแมงป่อง ดังนั้นเวลาที่มีแมงป่องที่ไหน คนก็มักจะเอารูปวาดของหลวงจีนเหลี ยงฮัวเซิงมาแขวนไว้ แล้วแมงป่องจะไม่มาปรากฎ**
ตะขาบ ตะขาบเป็นสัตว์ที่มีพิษร้ายแรง มีลักษณะลำตัวเป็นปล้องๆ รวมทั้งหมด 23 ปล้อง แต่ละปล้องจะมีขา 1 คู่ เนื่องจากสัตว์ชนิดนี้มีขาเป็นจำนวนมาก จึงถูกขนานนามว่า "สัตว์ร้อยขา" ถ้าผู้ใดถูกพิษของตะขาบจะเจ็บปวดรุนแรงและอาจจะถึงแก่ชีวิตได้
**วิธีกำจัดตะขาบที่ดีที่สุดก็คือ การใช้ไก่ เพราะไก่ไม่กลัวพิษของตะขาบ (มิกิ ซวยเเล้วล่ะเธอ ฮ่าๆๆ)**
แมงมุม แมงมุมเป็นสัตว์ที่มีลักษณะเป็นปล้อง มีขาทั้งหมด 4 คู่ และสามารปล่อยไยทอเป็นแหเอาไว้เป็นกับดัก เมื่อมีเหยื่อมาติดกับ ก็จะจับกินเป็นอาหาร โดยทั่วไปแล้วแมงมุมไม่ได้มีพิษทุกชนิดเสมอไป
**ทวีปแอฟริกามีแมงมุมอยู่ชนิดหนึ่ง เรียกกันว่า "แมงมุมเเม่หม้ายดำ" เป็นสายพันธุ์ที่มีพิษร้ายแรงมาก สามารทำอันตรายให้ถึงแก่ชีวิตได้ คนป่าแอฟริกานำพิษของแมงมุม แม่หม้ายดำมาทาที่บริเวณปลายหอก หรือหัวธนู เอาไว้ทำร้ายศัตรู**
คางคก นอกจากคางคกสามขาของท่านเหล่าไหเซี้ยมแล้ว คางคกจัดว่าเป็นสัตว์อสรพิษ เป็นสัตว์ที่ไม่เป็นมงคล มีเรื่องเล่ากันว่า มีนางฟ้าองค์หนึ่งชื่อว่า เซี่ยงง้อ นางฟ้าองค์นี้ได้ไป แอบขโมยยาอายุวัฒนะของเจ้าแม่อ๊วงบ้อเนี่ยเนี้ย ที่กินแล้วจะอยู่เป็นอมตะ
(อ้างอิงจาก เว็ป :: http://horoscope.sanook.com/2057/ )
[5.] ข้อมูล :: ตะขาบ
1. ลักษณะโดยทั่วไป
ตะขาบ เป็นสัตว์ที่มีลำตัวเป็นปล้องๆ แต่ละปล้องมีขา 1 คู่
มีส่วนหัวที่กลมและแบน
มีหนวด 1 คู่ทำหน้าที่เป็นเหมือนเสาอากาศตรวจจับความเคลื่อนไหวและแรงสั่นสะเทือน ตะขาบมีการมองเห็นที่ไม่ดีนักบางชนิดมองไม่เห็นเลย
มีขากรรไกรล่าง 1 คู่
และมีส่วนขากรรไกรบนหรือเขี้ยว 1 คู่ยื่นพ้นปากออกมา เขี้ยวพิษเชื่อมต่อกับต่อมพิษ เมื่อกัดเหยื่อจะปล่อยพิษออกมา ทำให้เหยื่อเจ็บปวด เป็นอัมพาตหรือตายได้
ปล้องสุดท้ายประกอบด้วยหางซึ่งเปลี่ยนรูปมาจากขาคู่สุดท้าย บางครั้งก็เรียกว่า “ขาคู่สุดท้าย”ยื่นออกไปทางด้านหลัง ในตะขาบบางชนิดจะมีส่วนของอวัยวะตรวจจับความสั่นสะเทือนอยู่ด้วย ปล้องสุดท้ายนี้ยังมีส่วนของอวัยวะเพศของตะขาบอยู่ด้วย
2. การดำรงชีวิต
ในเวลากลางวันตะขาบจะซ่อนตัวอยู่ในที่ชื้นเย็น ใต้ก้อนหิน ในดิน ใต้กองใบไม้ หรือตามท่อนไม้ผุๆ เนื่องจากตะขาบไม่มีผิวหนังอย่างแมลงจึงทำให้มันสูญเสียน้ำได้ง่าย เมื่อถึงเวลากลางคืน ตะขาบจะออกล่าเหยื่อ
3. อาหารการกิน
อาหารของตะขาบได้แก่ จิ้งจก, ตุ๊กแก, กบ, นก, หนู, แมลง, แมงมุม หรือแม้กระทั่งค้างคาว
4. พิษของตะขาบกับคน
โดยปกติตะขาบจะหนีคนมากกว่า จะกัดคนก็เพราะตกใจหรือป้องกันตัว เมื่อถูกกัดจะพบรอยเขี้ยว 2 รอย ลักษณะเป็นจุดเลือดออกตรงบริเวณที่ถูกกัด พิษของตะขาบทำให้มีการอักเสบ ปวดบวม แดงร้อน ชา เกิดอัมพาตตรงบริเวณที่ถูกกัด อาจเป็นแผลไหม้อยู่ 2-3 วัน
5. อันดับและวงศ์ของตะขาบ
ตะขาบแบ่งออกเป็น 5 วงศ์ ได้แก่
จะอธิบายจากซ้ายไปขวานะจ้ะ
1. Scutigeromorpha หรือ กลุ่มของตะขาบขายาว แยกออกเป็น 3 วงศ์ คือ Pselliodidae, Scutigeridae, Scutigerinidae เป็นตะขาบที่มีขา 15 คู่ เป็นสัตว์ที่ว่องไวมาก สามารถเคลื่อนที่ได้เร็วถึง 15 ช่วงตัวต่อวินาที มีตาแบบตาประกอบเหมือนแมลง ทำให้มีการมองเห็นเหมือนแมลง มีขายาว
**เจ้าตัวนี้มองเห็นได้ ไม่ตาบอด สายตาดี**
2. Lithobiomorpha แยกออกเป็น 2 วงศ์ คือ Henicopidae และ Litobiidae เป็นตะขาบที่แสดงให้เห็นถึงลักษณะของตะขาบทั่วไปอย่างเด่นชัด มีลำตัว 15 ปล้อง ไม่มีตาประกอบ แต่มีกลุ่มตาบบเซลรับแสงเข้ามาแทน มีรูเปิดอยู่ที่ด้านข้างลำตัวทุกปล้องทั้ง 2 ข้าง ทำหน้าที่รับแรงสั่นสะเทือน
3. Craterostigmomorpha เป็นตะขาบกลุ่มที่แตกแขนงออกไปน้อยที่สุด มีเพียง 2 ชนิดเท่านั้น เนื่องจากจะพบตะขาบทั้ง 2 ชนิดนี้ได้ในสภาพแวดล้องในแทสมาเนียและนิวซีแลนด์เท่านั้น เมื่อลอกคราบครั้งแรกแล้วจะมีจำนวนปล้อง 12-15 ปล้อง แล้วจะคงอยู่อย่างนั้นตลอดไม่มีการเปลี่ยนแปลงอีก
4. Scolopendromorpha แยกออกเป็น 3 วงศ์ คือ Cryptopidae, Scolpopendridae และ Scoloporyptopidae เป็นกลุ่มที่มีจำนวนปล้องของลำตัว 21 ปล้องขึ้นไปมีขา 1 คู่ทุกปล้อง มีส่วนของอวัยวะตรวจจับแรงสั่นสะเทือนทุกปล้อง มีตาแบบเซลรับแสงข้างละ 4 ดวง
5. Geophilomotpha เป็นตะขาบกลุ่มใหญ่ที่สุด และมีขามากที่สุดคือ 27 คู่หรือมากกว่านั้น ตะขาบกลุ่มนี้จะ'ตาบอด' แต่จะมีรูเปิดซึ่งเป็นอวัยวะรับความสั่นสะเทือนอยู่ทุกปล้องของลำตัว มีลักษณะพิเศษต่างจากตะขาบในอันดับอื่นๆ ที่จะมีการเพิ่มปล้องลำตัวเป็นจำนวนคู่ ตะขาบในอันดับนี้มีถึง 1,260 ชนิด ตะขาบชนิดที่ใหญ่และมีขาเยอะที่สุดก็อยู่ในกลุ่มนี้ มีขามากกว่า 29 คู่
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น